ที่เล่าไปแล้วนั้น เป็นเพียงเปลือกนอกของการเดินทางเท่านั้น แต่เนื้อแท้ของการเดินทางครั้งนี้ มันทำให้ผมและผู้ร่วมเดินทางหลายท่านได้เรียนรู้ถึงความจริงในบางแง่มุมที่มากยิ่งขึ้น จนทำให้ผมรู้สึกว่า มันเป็นการเดินทางที่ไม่ธรรมดา
"คนเรา...เกิดมาโดยลำพัง ตายโดยลำพัง และระหว่างนั้น คือ การเดินทางโดยลำพัง" (เสกสรรค์ ประเสริฐกุล, จากเรื่อง ผ่านพบไม่ผูกพัน)
ใช่ครับ...ผมกำลังจะพูดเกี่ยวกับ "การเดินทาง" สำหรับผมมันเป็นคำง่ายๆ แต่มีความหมายค่อนข้างลึกซึ้งเลยทีเดียว หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับการเดินทางเปลี่ยนสถานที่อยู่เป็นประจำ ขณะที่อีกหลายคนๆ อาจจะโต้เถียงว่าชั่วชีวิตเขาแทบไม่ได้เดินทางออกไปไหนเลยนอกจากถิ่นพำนักอาศัย แต่อย่างไรก็ตาม โดยเนื้อแท้แล้ว"ทุกคนล้วนตกอยู่ในห้วงการเดินทางของไตรลักษณะ (ดังที่เคยกล่าวไปแล้ว)"
ทั้งนี้ การเดินทางในห้วงไตรลักษณ์นี้ ถือได้ว่า เป็นการเดินทางที่ไม่มีที่สิ้นสุด หากจะพูดให้ชัดในทางพระพุทธศาสนา คือ การเดินทางในสังสารวัฎ นั่นเอง ขออธิบายเพิ่มเติมสักเล็กน้อยได้ว่า ตราบใดที่เรายังคงมีกิเลสหลงเหลืออยู่ภายในใจ เรายังคงต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกนับภพนับชาติไม่ถ้วน หากเราสะสมคุณความดีได้มาก เราก็จะสามารถเดินทางไปยังภพภูมิที่สูงขึ้นอย่าง เทวโลก หรือพรหมโลกได้ แต่หากเราก่อกรรมทำความชั่วไว้มาก เราก็จะต้องเดินทางไปยังภพภูมิที่ต่ำและประสบกับความทุกข์ร้อนในหลากหลายรูปแบบ เช่น สัตว์นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน ขึ้นอยู่กับบุญทำกรรมแต่งของแต่ละคน
แต่พูดก็พูดเถอะ...หากเราเลือก "ทางเดิน" ที่ถูกต้อง เราก็สามารถที่จะหยุด และออกจากการเดินทางดังกล่าวได้
ความแตกต่างของ "การเดินทาง" และ "ทางเดิน" อยู่ที่การเดินทางไม่มีขอบเขตสิ้นสุด แต่สำหรับ ทางเดิน นั้นมีที่สิ้นสุดหรือมีจุดจบในตัวของมันเอง....แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อยากจะฝากไว้ก็คือ "ต้นทางอยู่ที่คน แต่ปลายทางจะอยู่ที่ฟ้า" เพราะฉะนั้น ในเมื่อเราได้ออกเดินทางอยู่ในสังสารวัฎแห่งนี้แล้ว ก็ควรจะต้องกำหนดและเลือกเส้นทางเดินให้ถูกต้อง เพื่อก้าวไปสู่พระนิพพานอันเป็นจุดสิ้นสุดของการเดินทาง