ก็ไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรเหมือนกัน...แต่รู้ว่าอยากเขียนเท่านั้นเอง
เมื่อวานได้ไปวิ่งออกกำลังกายที่ Beach มาตอนเวลาใกล้ค่ำ...เป็นครั้งแรกในรอบห้าเดือนตั้งแต่มาอยู่ที่นี่
โดยส่วนตัวแล้ว...ตัวผมเองกลับไม่ค่อยนิยมชมชอบทะเลสักเท่าใดนัก หากแต่ชอบพาตัวเองไปยังหุบเขาลำเนาไพรเสียมากกว่า อีกทั้งช่วงชีวิตส่วนใหญ่ของผมก็ผูกพันก้บภูเขามากกว่าทะเลด้วยเช่นกัน
แต่การไปเสพบรรยากาศของทะเลในครั้งนี้ ก็ให้ความรู้สึกที่ดีไม่น้อย แม้ว่าจะมีสิ่งกดทับและคำถามอยู่ในใจมากมายก็ตาม "กูมาทำอะไรที่นี่" "ต่อไปกูต้องเจออะไรอีก" "กูจะทำได้ไหมเนี่ย" "เมื่อไรกูจะได้กลับบ้าน" ทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งที่เฝ้าถามตัวเองมาตลอดตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ แต่ทั้งหมดนั้น ก็ล้วนเกิดขึ้นจากจิตใจของผมเองที่อาจจะยังไม่มั่นคงแข็งแรงพอ ประกอบกับมีสิ่งที่เข้ามากระทบจิตกระแทกใจอยู่ตลอด
ภาพของทะเล ได้โผล่มาย้ำเตือนอีกครั้งในเรื่องของ "กฎไตรลักษณ์ที่ว่าด้วย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" ผ่านทางคลื่นลูกแล้วลูกเล่าที่เข้ามากระทบฝั่ง แสดงให้เห็นถึงความไม่แน่นอนจีรังยั่งยืน เปรียบตัวเราได้กับคลื่นระลอกหนึ่ง ที่เราเองก็ได้กลืนกลบคลื่นระลอกก่อนหน้า และเราเองก็จะต้องถูกคลื่นระลอกถัดไปกลืนทับด้วยเช่นกัน ซึ่งหากเรายังยึดว่าเราเป็นคลื่นระลอกนั้นระลอกนี้ เราก็จะไม่มีทางค้นพบตัวตนของเรา เพราะแท้จริงแล้วมันไม่มีตัวตนของเราเลย หากเป็นเพียงแค่สสารหรือสถานะหนึ่งที่เรายึดว่าเป็นเราเท่านั้นเอง...ไม่เพียงเท่านั้น แม้ว่าทะเลที่กว้างไกลสุดประมาณเพียงใด ก็ยังไม่สามารถจะเปรียบได้กับจิตใจคนได้ แม้กระทั่งตัวเจ้าของเองก็ตาม
หากฟังดูเผินเผินแล้ว หลายหลายท่านอาจจะมองว่า "มันเป็นความจริงอยู่แล้ว เป็นสัจธรรม ไม่เห็นจะมีอะไรแปลกใหม่" ซึ่งท่านเหล่านั้นก็มองได้ไม่ผิดเพี้ยนเลย แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า "ท่านเข้าใจมันอย่างลึกซึ้งแท้จริงหรือไม่ ท่านเคยผ่านประสบการณ์ที่ไม่ดีโดยใช้แว่นส่องธรรมอันนี้หรือไม่ หรือท่านผ่านมันได้หรือยัง"
สำหรับผม ผมก็มองเหมือนท่านเหล่านั้นแหละครับ แต่พอเจอสถานการณ์จริงเข้ากับตัว ก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน เสียสติไปเหมือนกัน และผมก็รู้เลยว่า "มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะผ่านไปได้" แต่มันเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องผ่านมันให้ได้ ไม่เร็วก็ช้า...และผมก็คงบอกได้แค่ว่า "ในการก้าวผ่านสิ่งต่างต่างที่เป็นต้นตอของทุกข์โศกนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ผ่านได้ง่ายง่าย หากต้องอาศัยสติปัญญา ตลอดจนความอดทนพยายามไม่น้อย อีกทั้งยังเป็นเรื่องเฉพาะตนด้วย..."
วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556
วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556
เมื่อความทุกข์กลับมาเยือน
ในช่วงเดือนที่ผ่าน มีเรื่องราวเข้ามาในชีวิตผมมากมาย และนำความเสียใจมาเยือนผมด้วยเช่นกัน นี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่เหมือนกับเป็นการฉายซ้ำของละครชีวิตครั้งที่สอง หรือครั้งที่สาม
แต่ในความทุกข์ เราก็สามารถเข้าใจชีวิต หรืออาจจะหาข้อคิดดีๆ ได้เช่นกัน ซึ่งความทุกข์โศกครั้งนี้ ทำให้ผมได้เข้าใจหลักธรรมที่เป็นภาษาบาลีว่า "อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข ปิเยหิ วิปะโยโค ยัมปิฉัง นะ ละภะติ ทุกขัง" มากขึ้น ซึ่งแปลเป็นไทยได้ใจความว่า ความประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งที่เป้นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์ มีความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นนั่นก็เป็นทุกข์
แต่ในความทุกข์ เราก็สามารถเข้าใจชีวิต หรืออาจจะหาข้อคิดดีๆ ได้เช่นกัน ซึ่งความทุกข์โศกครั้งนี้ ทำให้ผมได้เข้าใจหลักธรรมที่เป็นภาษาบาลีว่า "อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข ปิเยหิ วิปะโยโค ยัมปิฉัง นะ ละภะติ ทุกขัง" มากขึ้น ซึ่งแปลเป็นไทยได้ใจความว่า ความประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งที่เป้นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์ มีความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นนั่นก็เป็นทุกข์
นอกจากนั้น ก็มีความกังวลในสิ่งที่อยู่ต่อหน้า เพราะต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ และก็ไม่สามารถคิดหรือทำอะไรได้เลย เรียกได้ว่า "เสียสติ" ไปเลยทีเดียว
แต่ในความมืดมนสับสน ก็ยังพอจะหากำลังใจได้จากบทเพลงต่างๆ อยู่บ้าง โดยเฉพาะ ข้อคิดดีๆของพี่ๆ Bodyslam และล่าสุด เพลงรุ้ง ของพี่ๆ Slot Machine ที่เข้ามาทำให้ผมรู้สึกเข้มแข็งอีกครั้ง
แม้ว่าตอนนี้ผมจะสูญเสียบางอย่างไปแล้ว แต่ผมจะไม่ยอมให้ความโศกเสียใจนั้นมาทำลายชีวิต อนาคตและความหวังของอีกหลายๆคนเป็นอันขาด
(Slot Machine, 2556) ก่อนชีวิตจะอ่อนล้า...ก่อนที่ชีวิตจะผ่านพ้นจนหมดเวลา...พอได้รู้ว่าหยุดตามหา...จะมีวันที่ฟ้ากระจ่าง และความทุกข์นั้นเบาบาง...ฟ้าสว่าง เมื่อถึงเวลา ==> เป็นอีกข้อความหนึ่งที่ให้กำลังและสะท้อนสัจธรรมได้ดีเลยทีเดียว ผมขอตีความในแบบของผม คือ ชีวิตนี้สั้นนัก มันมีเวลาของมัน เมื่อมีเกิด..ก็ต้องมีดับเป็นธรรมดาเมื่อถึงเวลาของมัน และหากมองอีกมุม ก็คือ การที่เราตามหาความสุขจากภายนอกหรือสิ่งรอบๆตัว มันจะนำพาความทุกข์โศกมาให้ เปรียบได้กับท้องฟ้าที่มืดมน แต่เมื่อใดก็ตาม ที่เราหยุดตามหา หยุดไขว่คว้าสิ่งต่างๆนอกกายเรา และหันมาพิจารณาสิ่งที่อยู่ในตัวเราร่างกายเรา ไม่ส่งจิตสาดส่ายไปเกาะเกี่ยวสิ่งภายนอก เมื่อนั้นชีวิตเราอาจจะมีความสุขมากขึ้น หรืออย่างน้อยความทุกข์ก็จะเบาบางลง...ท้องฟ้าก็จะสว่าง
"ผ่านพบไม่ผูกพัน...บางทีอาจจะลึกซึ้งยั่งยืนกว่าร้อยหัวใจเข้ากับทุกอย่างด้วยโซ่ตรวนที่มักตั้งชื่อผิดๆ ว่า ความรัก" (เสกสรรค์ ประเสริฐกุล, 2550)
ขอบคุณทุกความโศกเศร้า และทุกแรงใจที่อยู่กับผมในช่วงเวลาที่เลวร้ายและอ่อนแอที่สุดช่วงหนึ่ง และกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง
ขอบคุณทุกความโศกเศร้า และทุกแรงใจที่อยู่กับผมในช่วงเวลาที่เลวร้ายและอ่อนแอที่สุดช่วงหนึ่ง และกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)