ขอแวะมาบ่นสักเล็กน้อย...ขณะนี้ ผมก็ได้ทำการ Enrolment เป็นนักเรียนอีกครั้งอย่างเป็นทางการ
นี่ขนาดนั้นยังไม่ได้ทำอะไร ก็รู้สึกได้ถึงความหนักหน่วง ความเครียดของการเรียนแล้ว
ยิ่งเป็นการเรียนสิ่งที่ไม่คุ้นเคย และไม่ได้ตั้งตัวเตรียมใจมาก่อนด้วยแล้ว ยิ่งหนักเป็นทวีคูณ
ตอนนี้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเริ่มต้นได้ยังไง จับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกเลย
รู้แค่ว่า "มันต้องเริ่มได้แล้ว มันต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้" อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไป => Don't Waste the time !!!
แต่ชีวิตมันก็มาถึงขนาดนี้แล้ว จะยังไงก็ต้องต่อสู้ฟันฝ่ากันไป ตัดสินใจมาแล้ว...มันต้องสำเร็จ !!!
พยายามบอกตัวเองว่า "ความพยายามอยู่ที่ไหน...ความสำเร็จอยู่ที่นั่น"
มันมาไกลเกินกว่าจะถอยหลังกลับแล้ว
อาจจะเหนื่อยบ้างครั้ง อาจจะเจ็บบางที...แต่ก็หวังว่าจะยิ้มได้บ้าง และมีกำลังใจที่จะสู้ต่อ :))
วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
กลับมาอีกครั้ง
มันก็เป็นเรื่องน่าแปลกและรันทดพอสมควรที่ผมได้กลับมาเขียนบลอกนี้อีกครั้ง...ซึ่งผมก็ได้สังเกตตัวเองมาหลายครั้งแล้วว่า ผมจะนึกถึงบลอกนี้ ก็ต่อเมื่อผมรู้สึกไม่สบายใจและไม่มีทางระบายความรู้สึกต่างๆ ออกมาได้
บางครั้งผมไม่ต้องการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นมากนัก เพราะการที่ผมได้รับรู้เรื่องราวๆ ต่างๆ มากมายทั้งจากตัวเองและผู้อื่น มันทำให้ผมรู้สึกทุกข์ รู้สึกอึดอันอย่างบอกไม่ถูก ไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่ผมก็คงจะไปกล่าวโทษคนอื่นเพียงอย่างเดียวก็คงจะไม่ได้ เพราะตัวทุกข์ที่แท้จริง มันอยู่ที่ "ใจ" ของผมนี่เอง
ผมได้ทบทวน มองความทุกข์ที่เกิดขึ้น และได้พบว่าที่ผมต้องทนทุกข์กับเหตุการณ์ต่างๆ ส่วนหนึ่งมาจาก "กรรม" หรือการกระทำของผมในอดีต ได้ส่งผลให้ผมต้องมาเสวยผลกรรมในปัจจุบัน อีกส่วนหนึ่งมาจาก "ความไม่รู้" หรือไม่เข้าใจในธรรม ผมกำลังจะบอกว่า หากเราสามารถปล่อยวางตามสภาพความเป็นจริงได้ หรือ หากจิตของเรามีความเข้มแข็งมากพอและมีสติรู้เท่าทันต่อผัสสะที่เข้ามากระทบผ่านอายตนะทั้ง 6 ไม่ว่าจะเป็น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ...ก็จะทำให้เราทุกข์น้อยลง หรืออาจจะไม่ทุกข์เลยก็เป็นได้
แต่ถึงตอนปฏิบัตินั้น ถ้าคนไม่เคยฝึกสติมาเลย จะทำได้ยากมากๆ...เวลาเอาเข้าจริงๆ พอเวลาที่ผัสสะมากระทบ สติเราแทบไม่เหลือ กระเจิดกระเจิงไปไหนต่อไหนก็ไม่รู้
สุดท้าย ผมก็ขอสรุปโดยอาราธนาคติธรรมคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล มาบอกกล่าวกันเพื่อย้ำเตือนอีกสักครั้ง ท่านว่า "จิตที่ส่งออกนอกเป็น สมุทัย" นั่นหมายความว่า ถ้าจิตของเราวิ่งไปตามสิ่งต่างๆที่มากระทบ มันก็จะเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์
บางครั้งผมไม่ต้องการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นมากนัก เพราะการที่ผมได้รับรู้เรื่องราวๆ ต่างๆ มากมายทั้งจากตัวเองและผู้อื่น มันทำให้ผมรู้สึกทุกข์ รู้สึกอึดอันอย่างบอกไม่ถูก ไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่ผมก็คงจะไปกล่าวโทษคนอื่นเพียงอย่างเดียวก็คงจะไม่ได้ เพราะตัวทุกข์ที่แท้จริง มันอยู่ที่ "ใจ" ของผมนี่เอง
ผมได้ทบทวน มองความทุกข์ที่เกิดขึ้น และได้พบว่าที่ผมต้องทนทุกข์กับเหตุการณ์ต่างๆ ส่วนหนึ่งมาจาก "กรรม" หรือการกระทำของผมในอดีต ได้ส่งผลให้ผมต้องมาเสวยผลกรรมในปัจจุบัน อีกส่วนหนึ่งมาจาก "ความไม่รู้" หรือไม่เข้าใจในธรรม ผมกำลังจะบอกว่า หากเราสามารถปล่อยวางตามสภาพความเป็นจริงได้ หรือ หากจิตของเรามีความเข้มแข็งมากพอและมีสติรู้เท่าทันต่อผัสสะที่เข้ามากระทบผ่านอายตนะทั้ง 6 ไม่ว่าจะเป็น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ...ก็จะทำให้เราทุกข์น้อยลง หรืออาจจะไม่ทุกข์เลยก็เป็นได้
แต่ถึงตอนปฏิบัตินั้น ถ้าคนไม่เคยฝึกสติมาเลย จะทำได้ยากมากๆ...เวลาเอาเข้าจริงๆ พอเวลาที่ผัสสะมากระทบ สติเราแทบไม่เหลือ กระเจิดกระเจิงไปไหนต่อไหนก็ไม่รู้
สุดท้าย ผมก็ขอสรุปโดยอาราธนาคติธรรมคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล มาบอกกล่าวกันเพื่อย้ำเตือนอีกสักครั้ง ท่านว่า "จิตที่ส่งออกนอกเป็น สมุทัย" นั่นหมายความว่า ถ้าจิตของเราวิ่งไปตามสิ่งต่างๆที่มากระทบ มันก็จะเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)