วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2556

การเดินทางที่ไม่ธรรมดา

เมื่อวันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม ที่ผ่านมา ผมได้เดินทางไปวัดพุทธรังษี แอนดาเดล ซึ่งเป็นวัดไทยสายธรรมยุติกนิกายในมหานครซิดนีย์ สำหรับการเดินทางครั้งนี้ คณะศรัทธาได้ออกเดินทางจ่ากเมืองนิวคลาสเซิลโดยรถไฟ City Rail ในเวลา 6.17 น. และถึงมหานครซิดนีย์เวลาประมาณ 9.00 น. จากนั้นเดินทางต่อไปยังวัดพุทธรังษีด้วยรถโดยสาร my bus zone II สาย 440 และถึงที่วัดเวลาประมาณ 11.00 น. ซึ่งพวกเราก็ได้ร่วมตักบาตรทันพอดี รวมไปถึงการได้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา (ที่อาจจะแตกต่างจากในเมืองไทยอยู่บ้าง เนื่องจากต้องมีการปรับให้เหมาะสมสอดคล้องกับประเทศนี้) อีกหลายอย่างที่ไม่เคยได้ทำที่ประเทศนี้มาก่อน ไม่ว่าจะเป็น การถวายสังฆทาน การทำทาน การฟังธรรม การได้กินข้าวก้นบาตร และการได้พบญาติธรรม เป็นต้น ซึ่งบุญกุศลที่เราได้กระทำในวัดนั้น ทำให้เรารู้สึกเกิดความปิติและอิ่มเอิมใจเป็นอย่างมาก

ที่เล่าไปแล้วนั้น เป็นเพียงเปลือกนอกของการเดินทางเท่านั้น แต่เนื้อแท้ของการเดินทางครั้งนี้ มันทำให้ผมและผู้ร่วมเดินทางหลายท่านได้เรียนรู้ถึงความจริงในบางแง่มุมที่มากยิ่งขึ้น จนทำให้ผมรู้สึกว่า มันเป็นการเดินทางที่ไม่ธรรมดา

"คนเรา...เกิดมาโดยลำพัง ตายโดยลำพัง และระหว่างนั้น คือ การเดินทางโดยลำพัง" (เสกสรรค์ ประเสริฐกุล, จากเรื่อง ผ่านพบไม่ผูกพัน)

ใช่ครับ...ผมกำลังจะพูดเกี่ยวกับ "การเดินทาง" สำหรับผมมันเป็นคำง่ายๆ แต่มีความหมายค่อนข้างลึกซึ้งเลยทีเดียว หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับการเดินทางเปลี่ยนสถานที่อยู่เป็นประจำ ขณะที่อีกหลายคนๆ อาจจะโต้เถียงว่าชั่วชีวิตเขาแทบไม่ได้เดินทางออกไปไหนเลยนอกจากถิ่นพำนักอาศัย แต่อย่างไรก็ตาม โดยเนื้อแท้แล้ว"ทุกคนล้วนตกอยู่ในห้วงการเดินทางของไตรลักษณะ (ดังที่เคยกล่าวไปแล้ว)"

ทั้งนี้ การเดินทางในห้วงไตรลักษณ์นี้ ถือได้ว่า เป็นการเดินทางที่ไม่มีที่สิ้นสุด หากจะพูดให้ชัดในทางพระพุทธศาสนา คือ การเดินทางในสังสารวัฎ นั่นเอง ขออธิบายเพิ่มเติมสักเล็กน้อยได้ว่า ตราบใดที่เรายังคงมีกิเลสหลงเหลืออยู่ภายในใจ เรายังคงต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกนับภพนับชาติไม่ถ้วน หากเราสะสมคุณความดีได้มาก เราก็จะสามารถเดินทางไปยังภพภูมิที่สูงขึ้นอย่าง เทวโลก หรือพรหมโลกได้ แต่หากเราก่อกรรมทำความชั่วไว้มาก เราก็จะต้องเดินทางไปยังภพภูมิที่ต่ำและประสบกับความทุกข์ร้อนในหลากหลายรูปแบบ เช่น สัตว์นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน ขึ้นอยู่กับบุญทำกรรมแต่งของแต่ละคน

แต่พูดก็พูดเถอะ...หากเราเลือก "ทางเดิน" ที่ถูกต้อง เราก็สามารถที่จะหยุด และออกจากการเดินทางดังกล่าวได้ 

ความแตกต่างของ "การเดินทาง" และ "ทางเดิน" อยู่ที่การเดินทางไม่มีขอบเขตสิ้นสุด แต่สำหรับ ทางเดิน นั้นมีที่สิ้นสุดหรือมีจุดจบในตัวของมันเอง....แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อยากจะฝากไว้ก็คือ "ต้นทางอยู่ที่คน แต่ปลายทางจะอยู่ที่ฟ้า" เพราะฉะนั้น ในเมื่อเราได้ออกเดินทางอยู่ในสังสารวัฎแห่งนี้แล้ว ก็ควรจะต้องกำหนดและเลือกเส้นทางเดินให้ถูกต้อง เพื่อก้าวไปสู่พระนิพพานอันเป็นจุดสิ้นสุดของการเดินทาง


วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Beach to Beat

ก็ไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรเหมือนกัน...แต่รู้ว่าอยากเขียนเท่านั้นเอง
เมื่อวานได้ไปวิ่งออกกำลังกายที่ Beach มาตอนเวลาใกล้ค่ำ...เป็นครั้งแรกในรอบห้าเดือนตั้งแต่มาอยู่ที่นี่

โดยส่วนตัวแล้ว...ตัวผมเองกลับไม่ค่อยนิยมชมชอบทะเลสักเท่าใดนัก หากแต่ชอบพาตัวเองไปยังหุบเขาลำเนาไพรเสียมากกว่า อีกทั้งช่วงชีวิตส่วนใหญ่ของผมก็ผูกพันก้บภูเขามากกว่าทะเลด้วยเช่นกัน


แต่การไปเสพบรรยากาศของทะเลในครั้งนี้ ก็ให้ความรู้สึกที่ดีไม่น้อย แม้ว่าจะมีสิ่งกดทับและคำถามอยู่ในใจมากมายก็ตาม "กูมาทำอะไรที่นี่" "ต่อไปกูต้องเจออะไรอีก" "กูจะทำได้ไหมเนี่ย" "เมื่อไรกูจะได้กลับบ้าน" ทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งที่เฝ้าถามตัวเองมาตลอดตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ แต่ทั้งหมดนั้น ก็ล้วนเกิดขึ้นจากจิตใจของผมเองที่อาจจะยังไม่มั่นคงแข็งแรงพอ ประกอบกับมีสิ่งที่เข้ามากระทบจิตกระแทกใจอยู่ตลอด


ภาพของทะเล ได้โผล่มาย้ำเตือนอีกครั้งในเรื่องของ "กฎไตรลักษณ์ที่ว่าด้วย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" ผ่านทางคลื่นลูกแล้วลูกเล่าที่เข้ามากระทบฝั่ง แสดงให้เห็นถึงความไม่แน่นอนจีรังยั่งยืน เปรียบตัวเราได้กับคลื่นระลอกหนึ่ง ที่เราเองก็ได้กลืนกลบคลื่นระลอกก่อนหน้า และเราเองก็จะต้องถูกคลื่นระลอกถัดไปกลืนทับด้วยเช่นกัน ซึ่งหากเรายังยึดว่าเราเป็นคลื่นระลอกนั้นระลอกนี้ เราก็จะไม่มีทางค้นพบตัวตนของเรา เพราะแท้จริงแล้วมันไม่มีตัวตนของเราเลย หากเป็นเพียงแค่สสารหรือสถานะหนึ่งที่เรายึดว่าเป็นเราเท่านั้นเอง...ไม่เพียงเท่านั้น แม้ว่าทะเลที่กว้างไกลสุดประมาณเพียงใด ก็ยังไม่สามารถจะเปรียบได้กับจิตใจคนได้ แม้กระทั่งตัวเจ้าของเองก็ตาม


หากฟังดูเผินเผินแล้ว หลายหลายท่านอาจจะมองว่า "มันเป็นความจริงอยู่แล้ว เป็นสัจธรรม ไม่เห็นจะมีอะไรแปลกใหม่" ซึ่งท่านเหล่านั้นก็มองได้ไม่ผิดเพี้ยนเลย แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า "ท่านเข้าใจมันอย่างลึกซึ้งแท้จริงหรือไม่ ท่านเคยผ่านประสบการณ์ที่ไม่ดีโดยใช้แว่นส่องธรรมอันนี้หรือไม่ หรือท่านผ่านมันได้หรือยัง"


สำหรับผม ผมก็มองเหมือนท่านเหล่านั้นแหละครับ แต่พอเจอสถานการณ์จริงเข้ากับตัว ก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน เสียสติไปเหมือนกัน และผมก็รู้เลยว่า "มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะผ่านไปได้" แต่มันเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องผ่านมันให้ได้ ไม่เร็วก็ช้า...และผมก็คงบอกได้แค่ว่า "ในการก้าวผ่านสิ่งต่างต่างที่เป็นต้นตอของทุกข์โศกนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ผ่านได้ง่ายง่าย หากต้องอาศัยสติปัญญา ตลอดจนความอดทนพยายามไม่น้อย อีกทั้งยังเป็นเรื่องเฉพาะตนด้วย..."




วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เมื่อความทุกข์กลับมาเยือน

ในช่วงเดือนที่ผ่าน มีเรื่องราวเข้ามาในชีวิตผมมากมาย และนำความเสียใจมาเยือนผมด้วยเช่นกัน นี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่เหมือนกับเป็นการฉายซ้ำของละครชีวิตครั้งที่สอง หรือครั้งที่สาม

แต่ในความทุกข์ เราก็สามารถเข้าใจชีวิต หรืออาจจะหาข้อคิดดีๆ ได้เช่นกัน ซึ่งความทุกข์โศกครั้งนี้ ทำให้ผมได้เข้าใจหลักธรรมที่เป็นภาษาบาลีว่า "อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข ปิเยหิ วิปะโยโค ยัมปิฉัง นะ ละภะติ ทุกขัง" มากขึ้น ซึ่งแปลเป็นไทยได้ใจความว่า ความประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งที่เป้นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์ มีความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นนั่นก็เป็นทุกข์

นอกจากนั้น ก็มีความกังวลในสิ่งที่อยู่ต่อหน้า เพราะต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ และก็ไม่สามารถคิดหรือทำอะไรได้เลย เรียกได้ว่า "เสียสติ" ไปเลยทีเดียว

แต่ในความมืดมนสับสน ก็ยังพอจะหากำลังใจได้จากบทเพลงต่างๆ อยู่บ้าง โดยเฉพาะ ข้อคิดดีๆของพี่ๆ Bodyslam และล่าสุด เพลงรุ้ง ของพี่ๆ Slot Machine ที่เข้ามาทำให้ผมรู้สึกเข้มแข็งอีกครั้ง

แม้ว่าตอนนี้ผมจะสูญเสียบางอย่างไปแล้ว แต่ผมจะไม่ยอมให้ความโศกเสียใจนั้นมาทำลายชีวิต อนาคตและความหวังของอีกหลายๆคนเป็นอันขาด

(Slot Machine, 2556) ก่อนชีวิตจะอ่อนล้า...ก่อนที่ชีวิตจะผ่านพ้นจนหมดเวลา...พอได้รู้ว่าหยุดตามหา...จะมีวันที่ฟ้ากระจ่าง และความทุกข์นั้นเบาบาง...ฟ้าสว่าง เมื่อถึงเวลา ==เป็นอีกข้อความหนึ่งที่ให้กำลังและสะท้อนสัจธรรมได้ดีเลยทีเดียว ผมขอตีความในแบบของผม คือ ชีวิตนี้สั้นนัก มันมีเวลาของมัน เมื่อมีเกิด..ก็ต้องมีดับเป็นธรรมดาเมื่อถึงเวลาของมัน และหากมองอีกมุม ก็คือ  การที่เราตามหาความสุขจากภายนอกหรือสิ่งรอบๆตัว มันจะนำพาความทุกข์โศกมาให้ เปรียบได้กับท้องฟ้าที่มืดมน แต่เมื่อใดก็ตาม ที่เราหยุดตามหา หยุดไขว่คว้าสิ่งต่างๆนอกกายเรา และหันมาพิจารณาสิ่งที่อยู่ในตัวเราร่างกายเรา ไม่ส่งจิตสาดส่ายไปเกาะเกี่ยวสิ่งภายนอก เมื่อนั้นชีวิตเราอาจจะมีความสุขมากขึ้น หรืออย่างน้อยความทุกข์ก็จะเบาบางลง...ท้องฟ้าก็จะสว่าง 

"ผ่านพบไม่ผูกพัน...บางทีอาจจะลึกซึ้งยั่งยืนกว่าร้อยหัวใจเข้ากับทุกอย่างด้วยโซ่ตรวนที่มักตั้งชื่อผิดๆ ว่า ความรัก" (เสกสรรค์ ประเสริฐกุล, 2550)

ขอบคุณทุกความโศกเศร้า และทุกแรงใจที่อยู่กับผมในช่วงเวลาที่เลวร้ายและอ่อนแอที่สุดช่วงหนึ่ง และกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง

วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ชีวิตมันไม่ง่ายเลย

ขอแวะมาบ่นสักเล็กน้อย...ขณะนี้ ผมก็ได้ทำการ Enrolment เป็นนักเรียนอีกครั้งอย่างเป็นทางการ

นี่ขนาดนั้นยังไม่ได้ทำอะไร ก็รู้สึกได้ถึงความหนักหน่วง ความเครียดของการเรียนแล้ว

ยิ่งเป็นการเรียนสิ่งที่ไม่คุ้นเคย และไม่ได้ตั้งตัวเตรียมใจมาก่อนด้วยแล้ว ยิ่งหนักเป็นทวีคูณ

ตอนนี้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเริ่มต้นได้ยังไง จับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกเลย

รู้แค่ว่า "มันต้องเริ่มได้แล้ว มันต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้" อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไป => Don't Waste the time !!!

แต่ชีวิตมันก็มาถึงขนาดนี้แล้ว จะยังไงก็ต้องต่อสู้ฟันฝ่ากันไป ตัดสินใจมาแล้ว...มันต้องสำเร็จ !!!

พยายามบอกตัวเองว่า "ความพยายามอยู่ที่ไหน...ความสำเร็จอยู่ที่นั่น"

มันมาไกลเกินกว่าจะถอยหลังกลับแล้ว

อาจจะเหนื่อยบ้างครั้ง อาจจะเจ็บบางที...แต่ก็หวังว่าจะยิ้มได้บ้าง และมีกำลังใจที่จะสู้ต่อ  :))

วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

กลับมาอีกครั้ง

มันก็เป็นเรื่องน่าแปลกและรันทดพอสมควรที่ผมได้กลับมาเขียนบลอกนี้อีกครั้ง...ซึ่งผมก็ได้สังเกตตัวเองมาหลายครั้งแล้วว่า ผมจะนึกถึงบลอกนี้ ก็ต่อเมื่อผมรู้สึกไม่สบายใจและไม่มีทางระบายความรู้สึกต่างๆ ออกมาได้

บางครั้งผมไม่ต้องการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นมากนัก เพราะการที่ผมได้รับรู้เรื่องราวๆ ต่างๆ มากมายทั้งจากตัวเองและผู้อื่น มันทำให้ผมรู้สึกทุกข์ รู้สึกอึดอันอย่างบอกไม่ถูก ไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่ผมก็คงจะไปกล่าวโทษคนอื่นเพียงอย่างเดียวก็คงจะไม่ได้ เพราะตัวทุกข์ที่แท้จริง มันอยู่ที่ "ใจ" ของผมนี่เอง

ผมได้ทบทวน มองความทุกข์ที่เกิดขึ้น และได้พบว่าที่ผมต้องทนทุกข์กับเหตุการณ์ต่างๆ ส่วนหนึ่งมาจาก "กรรม" หรือการกระทำของผมในอดีต ได้ส่งผลให้ผมต้องมาเสวยผลกรรมในปัจจุบัน อีกส่วนหนึ่งมาจาก "ความไม่รู้" หรือไม่เข้าใจในธรรม ผมกำลังจะบอกว่า หากเราสามารถปล่อยวางตามสภาพความเป็นจริงได้ หรือ หากจิตของเรามีความเข้มแข็งมากพอและมีสติรู้เท่าทันต่อผัสสะที่เข้ามากระทบผ่านอายตนะทั้ง 6 ไม่ว่าจะเป็น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ...ก็จะทำให้เราทุกข์น้อยลง หรืออาจจะไม่ทุกข์เลยก็เป็นได้

แต่ถึงตอนปฏิบัตินั้น ถ้าคนไม่เคยฝึกสติมาเลย จะทำได้ยากมากๆ...เวลาเอาเข้าจริงๆ พอเวลาที่ผัสสะมากระทบ สติเราแทบไม่เหลือ กระเจิดกระเจิงไปไหนต่อไหนก็ไม่รู้

สุดท้าย ผมก็ขอสรุปโดยอาราธนาคติธรรมคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล มาบอกกล่าวกันเพื่อย้ำเตือนอีกสักครั้ง ท่านว่า "จิตที่ส่งออกนอกเป็น สมุทัย" นั่นหมายความว่า ถ้าจิตของเราวิ่งไปตามสิ่งต่างๆที่มากระทบ มันก็จะเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์