วันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เคล็ด (ไม่) ลับในการทำงาน

           หลังจากห่างหายไป 2-3 วัน เนื่องจากภารกิจที่ค่อนข้างรัดตัว ไม่ว่าจะเป็นการประชุมแบบมาราธอนกว่า 5 ชั่วโมง การสอนหนังสือแบบ Paralympic และการพูดคุย ชี้แจง ทำความเข้าใจกับนักเรียน กว่าจะผ่านพ้นแต่ละวันไปได้ ก็สร้างความเหน็ดเหนื่อยมิใช่น้อย

           ในวันนี้ ก็เลยจะประมวลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาเล่าสู่กันฟัง ซึ่งสิ่งที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นมุมมองของกระผมแต่เพียงถ่ายเดียว มิได้มีเจตนาจะล่วงละเมิด สร้างความเสียหาย หรือแม้กระทั่งจะบิดเบือนความจริงของผู้ใด ฉะนั้น ผู้อ่านก็ควรจะใช้วิจารณญาณในการรับรู้ รับฟัง ในสิ่งที่ผมนำเสนอ 

           ย้อนกลับไปเมื่อวันพุธที่ 11 ก.ค. ที่ผ่านมา ได้มีการประชุมนัดแรกของคณะใหม่ ภายหลังการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ใน จ.หนองคาย โดยวัตถุประสงค์ของการประชุมครั้งนี้ คือ คณบดีฯ ต้องการจะมาดำเนินการสรรหาคณะกรรมการคณะ อีกทางหนึ่ง ท่านเองต้องการที่จะพบปะพูดคุย และร่วมรับประทานอาหารกลางวันร่วมกับอาจารย์ในคณะ สิ่งที่ผมสังเกตได้ 2 ประการ คือ

         ประการที่ 1  ผู้ที่จะกลายเป็นผู้บริหารในอนาคตบางท่าน ยังขาดวิสัยทัศน์ในการทำงานอยู่มาก ขาดทักษะในการสื่อสารภายในองค์กร  ไม่ทราบถึงสถานะ  บทบาท และหน้าที่ของตนเอง  ไม่รู้จักการจัดลำดับความสำคัญของงาน รวมไปถึงไม่สามารถจะตัดสินใจดำเนินการในเรื่องสำคัญได้อย่างถูกต้องและเด็ดขาด ที่ต้องพูดเช่นนี้ เพราะ ในฐานะที่เป็นเจ้าบ้าน บุคคลนั้น ไม่สามารถจัดการประชุมให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยได้ โดยเฉพาะในเรื่องของการจัดเตรียมอาหารกลางวัน ผมมองว่า "สอบไม่ผ่าน" เนื่องจากต้องมีการสั่งอาหารกลางวันกะทันหัน และมิหนำซ้ำยังเรียกเก็บเงินกับคณบดี อีกด้วย ทำให้ผมต้องพูดจากใจจริงว่า "มีความเป็นกังวล และรู้สึกเป็นห่วงคณะอยู่ไม่น้อย" หากได้ผู้บริหารประเภทนี้ มาบริหารงานองค์กรที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และส่งผลกระทบต่อคนหมู่มาก

       ประการที่ 2  แม้จะมีการปรับเปลี่ยนโครงการสร้างทำงานไปสู่รูปแบบใหม่ ที่(น่าจะ) มีความคล่องตัวและประสิทธิภาพมากกว่า บุคคลากรภายในคณะบางท่าน ยังโหยหาระบบอุปถัมภ์ (Patronage System) และยังคงอิงกับผลประโยชน์ต่างตอบแทนอยู่ (Reciprocal) โดยอาศัยการช่วงชิงพื้นที่และพยายามจะดึงเอาบุคคลภายนอกที่ตนเองมีสายสัมพันธ์อันดีด้วยนั้น เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของคณะ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่เห็นด้วยกับการกระทำเช่นนี้ เนื่องจากมันไม่เอื้อประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ และเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาในอนาคต หากทำเช่นนี้แล้ว แทนที่ความพยายามที่ผ่านมาจะเป็น "การสลายตัว เพื่อริเริ่มสิ่งใหม่" มันจะวนกลับไปสู่สิ่งที่เรียกว่า "วงจรอุบาทว์" อีกครั้ง ซึ่งจะไม่ส่งผลดีกับใครเลย นอกจากพวกพ้องของตนเอง

         เหตุการณ์ต่อมา เป็นการประชุมในระดับที่เล็กลงมา สิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจมาก ก็คือ มันเป็นการประชุมที่ยาวนานมากที่สุดกินเวลาว่า 5 ชั่วโมง ทั้งๆ ที่มีผู้เข้าร่วมประชุมเพียง 4 ท่านเท่านั้น มันสะท้อนให้เห็นถึงการทำงานหนักก็จริง แต่ในมุมมองของผม กลับเห็นว่า มันออกจะดูไร้ประสิทธิภาพไปหน่อย เพราะสามารถที่จะทำให้มันมีสาระเข้มข้น และกระชับได้มากกว่านี้ คำถามคือ ทำไมไม่ทำกัน?  และทำให้ผมต้องตั้งคำถามต่อเนื่องมาอีกว่า "ทำไมคนทำงานที่นี่ เค้าชอบทำงานที่เน้นปริมาณ ไม่เน้นคุณภาพหรอกหรือ?" "มันมีวิธีที่ง่าย และมีประสิทธิภาพกว่าอยู่นะ แต่ทำไมพวกคุณไม่ทำกัน?" พูดก็พูดเถอะ ในสังคมไทยที่มีระบบอาวุโสอยู่ ผมก็คงไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าการบ่นในพื้นที่ส่วนตัว ก็เท่านั้นเอง

        จากเรื่องเล่าที่นำมาเสนอนี้ ทำให้ผมนึกถึงข้อธรรมะในหมวด 4  อันได้แก่ พรหมวิหาร 4 สังคหวัตถุ 4 และอิทธิบาท 4 นั่นเอง 
        
        ในส่วนของการบริหารงานนั้น ผมมองว่า สังคหวัตถุ 4 (ธรรมะอันเป็นที่ตั้งแห่งการสงเคราะห์กัน) ได้แก่ 
          1. ทาน คือ การแบ่งปัน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ ความรู้วิทยาการ ธรรมะ ตลอดจนการให้อภัยกัน
          2. ปิยวาจา (หรือวาจาสุภาษิต) คือ การพูดคำจริง พูดด้วยไพเราะอ่อนหวาน พูดด้วยความปรารถนาดี และพูดเหมาะสมกับสถานที่ และกาลเวลา)
          3. อัตถจริยา คือ การทำตัวให้เป็นประโยชน์ ช่วยเหลือซึ่งกันและกันในหมู่คณะ
          4. สมานัตตา คือ การประพฤติตัวให้เป็นกลาง มีความสม่ำเสมอ การวางตัวที่ดี นั่นเอง 


       นอกจากนั้น หากน้อมนำหลักธรรมตามสังคหวัตถุ 4 มาปฏิบัติร่วมกับพรหมวิหาร 4 (คุณสมบัติของความเป็นพรหม) อันประกอบไปด้วย เมตตา (อยากให้ผู้อื่นมีความสุข) กรุณา (อยากให้ผู้อื่นพ้นทุกข์) มุทิตา (ยินดีเมื่อผู้อื่นมีความสุข) และอุเบกขา (การวางจิตให้เป็นกลาง ไม่ดีไม่ร้าย)  แล้วจะทำให้การบริหารงานใดๆ ก็ตามเป็นไปด้วยความราบรื่น และมีประสิทธิภาพ นั่นเอง

      สำหรับผู้ที่ประกอบการงานใดๆ ก็ตาม จะสำเร็จได้ ก็ต้องอาศัย อิทธิบาท (ฐานแห่งความสำเร็จ) 4 ประการ ได้แก่
        1. ฉันทะ คือ ความพอใจต่องานที่ทำ พูดง่ายๆ ก็คือ ต้องรักที่จะทำงานนั้นๆ
        2. วิริยะ คือ ความเพียรพยายาม แม้จะมีอุปสรรคมากมายเพียงใด ก็ต้องอดทนและทำงานนั้นต่อไป
        3. จิตตะ คือ ความตั้งใจหมายมั่น ทุ่มเทกำลังกายกำลังใจทำงานให้ลุล่วง หรืออาจกล่าวได้ว่า ต้องมี "สมาธิ" กับงานที่กำลังทำอยู่
        4. วิมังสา คือ การพิจารณา ใคร่ครวญ และใช้ "ปัญญา" ในการตรวจสอบงาน ซึ่งถือว่าเป็น "กุญแจสำคัญ" ในการทำงานให้ประสบความสำเร็จ

     สุดท้ายนี้ สิ่งที่ผมนำเสนอในวันนี้ น่าจะให้ข้อคิดกับใครหลายๆ คนและมีประโยชน์สำหรับที่นำไปปฎิบัติบ้างไม่มากก็น้อย

      ขอความสุขสงบและสันติ จงบังเกิดแก่ทุกท่าน..!!!

        
        
     

      
         
       

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น