วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เปิดพื้นที่ระบาย

            หลังจากเว้นว่างไปนานมากทีเดียวสำหรับการเขียนบล็อก สืบเนื่องจากความไม่พร้อมของตัวผมเองในหลายประการแต่พอดีได้เหลือบไปเห็นบล็อกของเพื่อนคนหนึ่งใน Facebook ก็เลยได้สติกลับมาว่า เราควรจะต้องกลับมาเริ่มเขียนบล็อกอีกครั้ง

           ในช่วงที่ผ่านมานั้น ตัวผมเองได้รู้สึกถึงความอึดอัด และความลำบากภายในใจตัวเองไม่น้อย ทั้งที่คนอื่นๆ จะมองว่าสิ่งที่ผมเป็นอยู่ หรือทำอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่หลายๆ คนอาจจะไม่เชื่อนักว่าผมจะมาทำหน้าที่ตรงนี้ได้ หรือถ้าทำได้จะทำได้ดีขนาดไหนเชียว ซึ่งหน้าที่ที่ผมกำลังทำอยู่ (ในทางโลก) นั้น ก็คือ การประกอบสัมมาอาชีวะ ด้วยการเป็นครูบาอาจารย์นั่นเอง (หากใครรู้จักผมดี ก็จะรู้ว่า มันดูขัดกับบุคลิกของผมเองไม่น้อย)

           แต่พูดก็พูดเถอะ ผมเองก็มีความชื่นชอบในอาชีพนี้อยู่ไม่น้อย เพราะผมรู้สึกว่า นั่นเป็นพื้นที่ของผม ที่จะแสดงออกถึงความคิดความอ่านของผมที่มีต่อสิ่งต่างๆ รอบตัว พูดง่ายๆ ก็คือ ผมรู้สึกว่า ผมมีอิสระในการทำงาน มีอิสระในการใช้ชีวิตพอสมควร จากอาชีพนี้ ซึ่งนั่นเป็นในด้านที่ดี แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็ถูกตีกรอบจากโครงสร้างการศึกษาไทย ที่บังคับให้ อาจารย์ที่มีเพียงวุฒิปริญญาโท อย่างผม ต้องไปเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น นั่นก็คือ ปริญญาเอก หรือพูดอีกอย่างว่า ทางมหาวิทยาลัยนั้นต้องการลูกจ้างที่มีคำนำหน้าว่า ดร. .... นู้น นี่ นั่น เท่านั้นเอง แต่หากไม่ไปเรียนต่อ ก็ต้องขอตำแหน่งทางวิชาการ อาทิ ผศ. รศ. หรือ ศ. มาประดับบารมี และวางไว้หน้าชื่อสมมติของตน

          สำหรับตัวผมเอง ก็ต้องยอมรับว่า จากคนที่เคยมีความคิดทวนกระแส มาถึงขณะนี้ ก็แทบจะไม่สามารถต้านทานอำนาจ ความรุนแรง และความเชี่ยวกรากของโลกได้ หากพิจารณาคำว่า "โลก" ตามเค้าความหมายเดิม (ในทางพระพุทธศาสนา ถ้าจำมาผิดก็ขออภัย) แปลว่า "มืด" ขณะที่ เจริญ แปลว่า มาก ดังนั้น เมื่อเอามารวมกัน โลกเจริญ ก็เท่ากับแปลได้ว่า ยิ่งมีความมืดมนมากขึ้น ซึ่งมืดในที่นี้ หมายถึง มืดบอดต่อศีลต่อธรรม โลกถูกครอบงำด้วยอวิชชา ตัณหา อุปทานต่างๆ นั่นเอง หากมองให้ขยายไปอีกนิดนึง คน (ในทางพระพุทธศาสนา) หมายถึง ความยุ่งเหยิง วุ่นวาย ฉะนั้น โลกที่ประกอบด้วยคนหมู่มาก ก็อาจจะหมายถึง ยิ่งมีความยุ่งเหยิง วุ่นวาย อย่างมากนั่นเอง และเป็นหนทางไปสู่ความืดมิด หากพวกคนเหล่านั้น ปราศจากคุณธรรมประจำใจ

         ที่พูดไปข้างต้น ก็เป็นความลำบากใจที่ผมเผชิญอยู่นั่นเอง เนื่องด้วยสถานที่ทำงานของผม จำเป็นต้องมีการติดต่อประสานงานกับคนมากหน้าหลายตา บ้างก็รู้เรื่อง บ้างก็ไม่รู้เรื่อง ทำให้เกิดความรู้สึกไม่ค่อยสุขกับสิ่งที่ทำอยู่เท่าใดนัก ประกอบกับต้องตกอยู่ในข้อบังคับที่ต้องไปเรียน ยิ่งเพิ่มความหนักใจเข้าไปอีก มิใช่ว่าไม่พยายาม ขวนขวายหาที่เรียนต่อ แต่เป็นเพราะ ยิ่งหาเท่าไร ยิ่งทำมากเท่าไร ยิ่งไม่เจอ  และเริ่มรู้สึกท้อแท้ จนต้องหันกลับมามองตัวเองว่า อะไรคือเป้าหมายที่แท้จริงสำหรับตัวเองกันแน่


         แต่เอาเข้าจริง แล้วจิตใจผมก็ยังไม่แข็งแกรงพอที่จะตัดสินใจอย่างเด็ดขาด สิ่งที่ทำได้ตอนนี้ ก็คงทำได้เพียงขอเปิดพื้นที่ในการบ่น พยายามทำหน้าที่ในปัจจุบันให้ดีที่สุด ด้วยกำลังสติปัญญาที่มีอยู่ และหวังแค่ว่า สิ่งที่หวัง สิ่งที่ตั้งใจ จะได้ทำในเร็วนี้ เพื่อที่มุ่งสู่เป้าหมาย "คนพ้นโลก" หรืออย่างน้อยที่สุดขอแค่ได้ Count Down ในชาตินี้ ก็ยังดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น